ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทที่ 5 วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้


วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้

Knowledge management systems life cycle



   การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
          การพัฒนาระบบฐานข้อมูล ( Database Development ) หมายถึง การสร้างระบบใหม่ หรือ 
การปรับปรุงระบบเก่าให้สามารถทำงานตอบสนองความต้องการขององค์กรได้  ซึ่งผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบที่ได้รับมานั้นก็คือ ระบบฐานข้อมูล ( Database System ) โดยระบบฐานข้อมูลดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศนั่นเอง ในปัจจุบันนักวิเคราะห์ระบบสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางหรือขั้นตอน ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม มีการวางแผนการดำเนินงานเป็นขั้นตอน ขึ้นอยู่กับว่าระบบงานมีความซับซ้อนเพียงใด

วงจรการพัฒนาระบบ ( SDLC )
          วงจรการพัฒนาระบบ คือ กระบวนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ โดยภายในวงจรนั้นจะแบ่งกระบวนการพัฒนาออกเป็นกลุ่มงานหลัก ๆ ดังนี้ ด้านการวางแผน ( Planning Phase )  ด้านการวิเคราะห์ ( Analysis Phase )  ด้านการออกแบบ( Design Phase )  ด้านการสร้างและพัฒนา ( Implementation Phase )

          ความสำคัญ ระบบสารสนเทศทั้งหลายมีวงจรชีวิตที่เหมือนกันตั้งแต่เกิดจนตาย วงจรนี้จะเป็นขั้นตอน ที่เป็นลำดับตั้งแต่ต้นจนเสร็จเรียบร้อย เป็นระบบที่ใช้งานได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าในแต่ละขั้นตอนจะต้องทำอะไร และทำอย่างไร

ขั้นตอนการพัฒนาระบบมีอยู่ด้วยกัน 7 ขั้นด้วยกัน ได้แก่
          1. เข้าใจปัญหา ( Problem Recognition )
          2. ศึกษาความเป็นไปได้ ( Feasibility Study )
          3. วิเคราะห์ ( Analysis )
          4. ออกแบบ ( Design )
          5. สร้างหรือพัฒนาระบบ ( Construction )
          6. การปรับเปลี่ยน ( Conversion )
          7. บำรุงรักษา ( Maintenance )

ขั้นที่ 1 : เข้าใจปัญหา ( Problem Recognition )
          ระบบสารสนเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ตระหนักว่า ต้องการระบบสารสนเทศหรือระบบจัดการเดิม ได้แก่ ระบบเอกสารในตู้เอกสาร ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน

ขั้นที่ 2 : ศึกษาความเป็นไปได้ ( Feasibility Study )
          จุดประสงค์ของการศึกษาความเป็นไปได้ก็ได้ก็คือ การกำหนดว่าปัญหาคืออะไร และตัดสินใจว่าการพัฒนาสร้างระบบสารสนเทศ หรือการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมมีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยเสียค่าใช้จ่ายและเวลาน้อยที่สุด และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

ขั้นที่ 3 : วิเคราะห์ ( Analysis )
          เริ่มเข้าสู้การวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ระบบ เริ่มตั้งแต่การศึกษาระบบการทำงานของธุรกิจนั้น ในกรณีที่ระบบเราศึกษานั้นเป็นระบบสารสนเทศอยู่แล้ว จะต้องศึกษาว่าทำงานอย่างไร เพราะเป็นการยากที่จะออกแบบระบบใหม่ โดยที่ไม่ทราบว่าระบบเดิมทำงานอย่างไร หรือธุรกิจดำเนินการอย่างไร  หลังจากนั้น กำหนดความต้องการของระบบใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบจะต้องใช้เทคนิคในการเก็บข้อมูล ( Fact Gathering Techniques ) ได้แก่ ศึกษาเอกสารที่มีอยู่ ตรวจสอบวิธีการทำงานในปัจจุบัน สัมภาษณ์ผู้ใช้และผู้จัดการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเอกสารที่มีอยู่ ได้แก่ คู่มือการใช้งาน แผนผังใช้งานขององค์กร รายงานต่าง ๆ ที่หมุนเวียนในระบบการศึกษา วิธีการทำงานในปัจจุบันจะทำให้นักวิเคราะห์ระบบรู้ว่าระบบจริง ๆ ทำงานอย่างไร  ซึ่งบางครั้งค้นพบข้อผิดพลาดได้ ตัวอย่างเช่น  เมื่อบริษัทได้รับใบเรียกเก็บเงิน จะมีขั้นตอนอย่างไรในการจ่ายเงิน ขั้นตอนที่เสมียนป้อนใบเรียกเก็บเงินอย่างไร เฝ้าสังเกตการทำงานของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจและเห็นจริง ๆ ว่าขั้นตอนการทำงานเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้นักวิเคราะห์ระบบค้นพบจุดสำคัญของระบบว่าอยู่ที่ใด

ขั้นที่ 4 : ออกแบบ ( Design )
          ในระยะแรกของการออกแบบ นักวิเคราะห์ระบบจะนำการตัดสินใจของฝ่ายบริหารที่ได้จากขั้นตอนการวิเคราะห์การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ด้วย หลังจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบจะนำแผนภาพต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นในขั้นตอนการวิเคราะห์มาแปลงเป็นแผนภาพลำดับขั้น ( แบบต้นไม้ ) เพื่อให้มองเห็นภาพลักษณ์ที่แน่นอนของโปรแกรมว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร และโปรแกรมอะไรบ้างที่จะต้องเขียนในระบบ หลังจากนั้นก็เริ่มตัดสินใจว่าควรจะจัดโครงสร้างจากโปรแกรมอย่างไร การเชื่อมระหว่างโปรแกรมควรจะทำอย่างไร ในขั้นตอนการออกแบบต้องรู้ว่า จะต้องทำอะไร ( How ) ในการออกแบบโปรแกรมต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ( Security ) ของระบบด้วย เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น รหัส สำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สำรองไฟล์ข้อมูลทั้งหมด เป็นต้น

ขั้นที่ 5 : สร้างหรือพัฒนาระบบ ( Construction )
          ในขั้นตอนนี้โปรแกรมเมอร์จะเริ่มเขียนและทดสอบโปรแกรมว่า ทำงานถูกต้องหรือไม่ ต้องมีการทดสอบกับข้อมูลจริงที่เลือกแล้ว ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เราจะได้โปรแกรมที่พร้อมที่จะนำไปใช้งานจริงต่อไป หลังจากนั้นต้องเตรียมคู่มือการใช้งานและการฝึกอบรมผู้ใช้งานจริงของระบบ

ขั้นที่ 6 : การปรับเปลี่ยน ( Conversion )
          ขั้นตอนนี้บริษัทนำระบบใหม่มาใช้แทนของเก่า ภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ การป้อนข้อมูลต้องทำให้เรียบร้อย และในที่สุดบริษัทเริ่มต้นใช้งานระบบใหม่นี้ได้

ขั้นที่ 7 : บำรุงรักษา ( Maintenance )
          การบำรุงรักษาได้แก่ การแก้ไขโปรแกรมหลังจากการใช้งานแล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขโปรแกรมหลังจากใช้งานแล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขส่วนใหญ่มี 2 ข้อ คือ
          1. มีปัญหาในโปรแกรม ( Bug )     2. การดำเนินงานในองค์กรหรือธุรกิจเปลี่ยนไป
          จากสถิติของระบบที่พัฒนาแล้วทั้งหมดประมาณ 40 % ของค่าใช้จ่ายใยการแก้ไขโปรแกรม เนื่องจากมี Bug ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบควรให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษา ซึ่งปกติจะคิดว่าไม่มีความสำคัญมากนัก  เมื่อธุรกิจขยายตัวมากขึ้น ความต้องการของระบบอาจจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ต้องการรายงานเพิ่มขึ้น ระบบที่ดีควรจะแก้ไขเพิ่มเติมสิ่งที่ต้องการได้  การบำรุงรักษาระบบ ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ เมื่อผู้บริหารต้องการแก้ไขส่วนใด นักวิเคราะห์ระบบต้องเตรียมแผนภาพต่าง ๆ และศึกษาผลกระทบต่อระบบ และให้ผู้บริหารตัดสินใจต่อไปว่าควรจะแก้ไขหรือไม่





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเลี้ยงงูคอร์นสเนค

ประวัติงูคอร์นสเนค               Corn snake   เป็นงูที่ได้รับความนิยม เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ( pet )   นับเป็นอันดับต้น ๆ   ของผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก   เนื่องจากเป็นงูที่เลี้ยงง่าย การดูแล รักษาง่าย   และใช้เวลาในการดูแลน้อยมาก เมื่อเทียบกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น                        ที่มาของชื่อ Corn snake ทำไมถึงชื่อว่างูข้าวโพด คนที่ได้ยินชื่อครั้งแรก อาจจะมีคำถามในใจว่า   กินข้าวโพด เป็นอาหารรึเปล่า   จริงๆแล้วที่มาของชื่อ หลากหลายความเชื่อ ตั้งแต่ชอบอาศัยอยู่ในไร่ข้าวโพด   ลายท้องเหมือนฝักข้าวโพด   เป็นต้น   และอีกที่มาหนึ่งเล่ามาว่า             ในอดีต ผู้คนในแถบนั้น ทวีปอเมริกาเหนือ แถบภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีการปลูกข้าวโพดกันมากมาย และเมื่อเก็บเกี่ยว ก็จะนำมาเก็บไว้ในยุ้งฉางข้าวโพด ( Corn crib )  คล้าย ๆ กับบ้านเราที่สมัยก่อน   หลังบ้านจะมียุ้งข้าวไว้สำหรับ...

บทที่3 กระบวนการจัดการความรู้

บทที่3 กระบวนการจัดการความรู้ การจัดการความรู้ หรือเคเอ็ม ( KM = Knowledge Management) คือ           การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร   ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้   และ พัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ           1) ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน ( Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด หรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม         2) ความรู้ที่ชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรู...

บทที่ 1 การจัดการความรู้ทางด้านธุรกิจ

การจัดการความรู้ทางด้านธุรกิจ ความรู้ หมายถึง             การประกอบกิจการหรือดำเนินการใดๆความรู้ คือ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สิ่งที่ลงมือกระทำนั้นประสบความสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในบางครั้งความรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเนื่องจากมีนิยามความหมายที่กว้าง หรือไม่สามารถกำหนดขอบเขตและเข้าใจได้ว่าสิ่งใดถือเป็นความรู้หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เราควรนำมาปฏิบัติ ความรู้ ( Knowledge) หมายถึง         ความหมายของคำว่า “ความรู้” มีนักวิชาการได้ให้ความหมายหรือคำนิยามในหลายประเด็น ดังนี้               ความรู้ หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กำหนดช่วงเวลา (สํานักงาน ก.พ.ร.และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ,2548; 8)               ความรู้ จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้นิยามความหมายไว้ว่า ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นค...