วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้
Knowledge
management systems life cycle
การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
การพัฒนาระบบฐานข้อมูล ( Database Development ) หมายถึง การสร้างระบบใหม่ หรือ
การปรับปรุงระบบเก่าให้สามารถทำงานตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบที่ได้รับมานั้นก็คือ ระบบฐานข้อมูล ( Database
System ) โดยระบบฐานข้อมูลดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศนั่นเอง
ในปัจจุบันนักวิเคราะห์ระบบสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางหรือขั้นตอน
ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม มีการวางแผนการดำเนินงานเป็นขั้นตอน
ขึ้นอยู่กับว่าระบบงานมีความซับซ้อนเพียงใด
วงจรการพัฒนาระบบ ( SDLC )
วงจรการพัฒนาระบบ คือ กระบวนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ
เพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้
โดยภายในวงจรนั้นจะแบ่งกระบวนการพัฒนาออกเป็นกลุ่มงานหลัก ๆ ดังนี้ ด้านการวางแผน
( Planning Phase ) ด้านการวิเคราะห์ ( Analysis
Phase ) ด้านการออกแบบ( Design Phase ) ด้านการสร้างและพัฒนา ( Implementation Phase )
ความสำคัญ
ระบบสารสนเทศทั้งหลายมีวงจรชีวิตที่เหมือนกันตั้งแต่เกิดจนตาย
วงจรนี้จะเป็นขั้นตอน ที่เป็นลำดับตั้งแต่ต้นจนเสร็จเรียบร้อย
เป็นระบบที่ใช้งานได้
ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าในแต่ละขั้นตอนจะต้องทำอะไร
และทำอย่างไร
ขั้นตอนการพัฒนาระบบมีอยู่ด้วยกัน
7
ขั้นด้วยกัน ได้แก่
1. เข้าใจปัญหา ( Problem Recognition )
2. ศึกษาความเป็นไปได้ ( Feasibility Study )
3. วิเคราะห์ ( Analysis )
4. ออกแบบ ( Design )
5. สร้างหรือพัฒนาระบบ ( Construction )
6. การปรับเปลี่ยน ( Conversion )
7. บำรุงรักษา ( Maintenance )
ขั้นที่ 1 : เข้าใจปัญหา ( Problem Recognition )
ระบบสารสนเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ตระหนักว่า
ต้องการระบบสารสนเทศหรือระบบจัดการเดิม ได้แก่ ระบบเอกสารในตู้เอกสาร ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน
ขั้นที่ 2 : ศึกษาความเป็นไปได้ ( Feasibility Study )
จุดประสงค์ของการศึกษาความเป็นไปได้ก็ได้ก็คือ
การกำหนดว่าปัญหาคืออะไร และตัดสินใจว่าการพัฒนาสร้างระบบสารสนเทศ
หรือการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมมีความเป็นไปได้หรือไม่
โดยเสียค่าใช้จ่ายและเวลาน้อยที่สุด และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ขั้นที่ 3 : วิเคราะห์ ( Analysis )
เริ่มเข้าสู้การวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ระบบ
เริ่มตั้งแต่การศึกษาระบบการทำงานของธุรกิจนั้น
ในกรณีที่ระบบเราศึกษานั้นเป็นระบบสารสนเทศอยู่แล้ว จะต้องศึกษาว่าทำงานอย่างไร
เพราะเป็นการยากที่จะออกแบบระบบใหม่ โดยที่ไม่ทราบว่าระบบเดิมทำงานอย่างไร หรือธุรกิจดำเนินการอย่างไร
หลังจากนั้น กำหนดความต้องการของระบบใหม่
ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบจะต้องใช้เทคนิคในการเก็บข้อมูล ( Fact Gathering
Techniques ) ได้แก่ ศึกษาเอกสารที่มีอยู่
ตรวจสอบวิธีการทำงานในปัจจุบัน
สัมภาษณ์ผู้ใช้และผู้จัดการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบเอกสารที่มีอยู่ ได้แก่
คู่มือการใช้งาน แผนผังใช้งานขององค์กร รายงานต่าง ๆ ที่หมุนเวียนในระบบการศึกษา
วิธีการทำงานในปัจจุบันจะทำให้นักวิเคราะห์ระบบรู้ว่าระบบจริง ๆ ทำงานอย่างไร
ซึ่งบางครั้งค้นพบข้อผิดพลาดได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อบริษัทได้รับใบเรียกเก็บเงิน จะมีขั้นตอนอย่างไรในการจ่ายเงิน
ขั้นตอนที่เสมียนป้อนใบเรียกเก็บเงินอย่างไร เฝ้าสังเกตการทำงานของผู้เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เข้าใจและเห็นจริง ๆ ว่าขั้นตอนการทำงานเป็นอย่างไร
ซึ่งจะทำให้นักวิเคราะห์ระบบค้นพบจุดสำคัญของระบบว่าอยู่ที่ใด
ขั้นที่ 4 : ออกแบบ ( Design )
ในระยะแรกของการออกแบบ
นักวิเคราะห์ระบบจะนำการตัดสินใจของฝ่ายบริหารที่ได้จากขั้นตอนการวิเคราะห์การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ด้วย หลังจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบจะนำแผนภาพต่าง ๆ
ที่เขียนขึ้นในขั้นตอนการวิเคราะห์มาแปลงเป็นแผนภาพลำดับขั้น ( แบบต้นไม้ )
เพื่อให้มองเห็นภาพลักษณ์ที่แน่นอนของโปรแกรมว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร
และโปรแกรมอะไรบ้างที่จะต้องเขียนในระบบ
หลังจากนั้นก็เริ่มตัดสินใจว่าควรจะจัดโครงสร้างจากโปรแกรมอย่างไร
การเชื่อมระหว่างโปรแกรมควรจะทำอย่างไร ในขั้นตอนการออกแบบต้องรู้ว่า จะต้องทำอะไร
( How ) ในการออกแบบโปรแกรมต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ( Security
) ของระบบด้วย เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น รหัส
สำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สำรองไฟล์ข้อมูลทั้งหมด เป็นต้น
ขั้นที่ 5 : สร้างหรือพัฒนาระบบ ( Construction )
ในขั้นตอนนี้โปรแกรมเมอร์จะเริ่มเขียนและทดสอบโปรแกรมว่า
ทำงานถูกต้องหรือไม่ ต้องมีการทดสอบกับข้อมูลจริงที่เลือกแล้ว
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เราจะได้โปรแกรมที่พร้อมที่จะนำไปใช้งานจริงต่อไป
หลังจากนั้นต้องเตรียมคู่มือการใช้งานและการฝึกอบรมผู้ใช้งานจริงของระบบ
ขั้นที่ 6 : การปรับเปลี่ยน ( Conversion )
ขั้นตอนนี้บริษัทนำระบบใหม่มาใช้แทนของเก่า
ภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ การป้อนข้อมูลต้องทำให้เรียบร้อย
และในที่สุดบริษัทเริ่มต้นใช้งานระบบใหม่นี้ได้
ขั้นที่ 7 : บำรุงรักษา ( Maintenance )
การบำรุงรักษาได้แก่ การแก้ไขโปรแกรมหลังจากการใช้งานแล้ว
สาเหตุที่ต้องแก้ไขโปรแกรมหลังจากใช้งานแล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขส่วนใหญ่มี 2
ข้อ คือ
1. มีปัญหาในโปรแกรม ( Bug ) 2. การดำเนินงานในองค์กรหรือธุรกิจเปลี่ยนไป
จากสถิติของระบบที่พัฒนาแล้วทั้งหมดประมาณ 40 % ของค่าใช้จ่ายใยการแก้ไขโปรแกรม เนื่องจากมี Bug ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบควรให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษา
ซึ่งปกติจะคิดว่าไม่มีความสำคัญมากนัก เมื่อธุรกิจขยายตัวมากขึ้น
ความต้องการของระบบอาจจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ต้องการรายงานเพิ่มขึ้น ระบบที่ดีควรจะแก้ไขเพิ่มเติมสิ่งที่ต้องการได้
การบำรุงรักษาระบบ ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ
เมื่อผู้บริหารต้องการแก้ไขส่วนใด นักวิเคราะห์ระบบต้องเตรียมแผนภาพต่าง ๆ
และศึกษาผลกระทบต่อระบบ และให้ผู้บริหารตัดสินใจต่อไปว่าควรจะแก้ไขหรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น