การจัดการความรู้ทางด้านธุรกิจ
ความรู้ หมายถึง
การประกอบกิจการหรือดำเนินการใดๆความรู้
คือ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สิ่งที่ลงมือกระทำนั้นประสบความสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในบางครั้งความรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเนื่องจากมีนิยามความหมายที่กว้าง
หรือไม่สามารถกำหนดขอบเขตและเข้าใจได้ว่าสิ่งใดถือเป็นความรู้หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เราควรนำมาปฏิบัติ
ความรู้ (Knowledge)หมายถึง
ความหมายของคำว่า
“ความรู้” มีนักวิชาการได้ให้ความหมายหรือคำนิยามในหลายประเด็น ดังนี้
ความรู้ หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ
เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กำหนดช่วงเวลา
(สํานักงาน ก.พ.ร.และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ,2548; 8)
ความรู้ จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้นิยามความหมายไว้ว่า ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน
การค้นคว้าหรือจากประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ
ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ องค์วิชาในแต่ละสาขา
ความรู้
หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบการทำงานสำหรับการประเมิน
และรวมกันของประสบการณ์และสารสนเทศใหม่ (Davenport
and Prusak)
ดังนั้นสรุปได้ว่า
ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง
สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น
หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด
หรือข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนำสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ
ความรู้ หมายถึง
การประกอบกิจการหรือดำเนินการใดๆความรู้
คือ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สิ่งที่ลงมือกระทำนั้นประสบความสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในบางครั้งความรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเนื่องจากมีนิยามความหมายที่กว้าง
หรือไม่สามารถกำหนดขอบเขตและเข้าใจได้ว่าสิ่งใดถือเป็นความรู้หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เราควรนำมาปฏิบัติ
ความรู้ (Knowledge)หมายถึง
ความหมายของคำว่า
“ความรู้” มีนักวิชาการได้ให้ความหมายหรือคำนิยามในหลายประเด็น ดังนี้
ความรู้ หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ
เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กำหนดช่วงเวลา
(สํานักงาน ก.พ.ร.และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ,2548; 8)
ความรู้ จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้นิยามความหมายไว้ว่า ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน
การค้นคว้าหรือจากประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ
ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ องค์วิชาในแต่ละสาขา
ความรู้
หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบการทำงานสำหรับการประเมิน
และรวมกันของประสบการณ์และสารสนเทศใหม่ (Davenport
and Prusak)
ดังนั้นสรุปได้ว่า
ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง
สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น
หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด
หรือข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนำสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ
ประเภทของความรู้ ความรู้มี 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการเล่นดนตรี เล่นกีฬา การทำอาหาร การทำงานฝีมือหรือเป็นประสบการณ์การทำงาน(จริง)ที่สะสมในตัวของผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความเชี่ยวชาญในงานด้านนั้นๆ บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม ความรู้ประเภทนี้ถ่ายทอดยาก ต้องลงมือทำ
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ง่าย โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นคลิปวิดีโอ ความรู้ประเภทนี้ได้แก่ ทฤษฎีคู่มือ ตำราระบบ
E-Learning ผลงานวิจัยต่างๆ บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม
Ikujiro Nonaka นักจัดการความรู้ได้จำแนกความรู้ออกเป็น 2 ประเภท และให้คำจำกัดความไว้เบื้องต้นที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรม ซึ่งนักการจัดการความรู้ใหม่ๆ จะต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเพราะจะเป็นพื้นฐานในการจัดการความรู้ คือ
1. Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่ปรากฏและมองเห็นได้ชัดเจน สามารถจัดทำออกมาในรูปแบบของเอกสาร คู่มือหรือสื่อต่างๆ และสามารถถ่ายทอดหรือรวบรวมได้ง่าย เช่น เอกสาร หนังสือ วีซีดี เทป ฐานข้อมูล เรียกว่ารูปแบบรูปธรรม
2. Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง ถูกฝังลึกและซ่อนเร้นอยู่ในตัวบุคคล โดย Tacit Knowledge อาจเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้หรือพรสวรรค์ (Talent) การถ่ายทอดหรือสื่อสารในรูปแบบของตัวเลขหรือตัวอักษรอาจทำได้ยาก
ไมเคิล โพแลนฮี และอิคูจิโร โนนากะ (Michel Polanyi and Ikujiro Nonaka) กล่าวว่าโดยปกติแล้วมนุษย์หรือองค์กรมักจะมีความรู้อยู่ 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ชัดแจ้ง Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง เป็นเหตุเป็นผล สามารถรวบรวม และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ เอกสาร รายงานต่างๆ ที่ง่ายต่อความเข้าใจ
2. ความรู้ที่ซ่อนเร้น Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวบุคคล เกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ พรสวรรค์ ซึ่งสื่อสาร ถ่ายทอด ในรูปแบบของตัวเลข สูตร หรือลายลักษณ์อักษรได้ยาก ความรู้ประเภทนี้พัฒนา และแบ่งปันได้ และเป็นความรู้ที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบ ในสภาพการแข่งขัน
ความรู้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
เนื่องจากมีความเป็นนามธรรมสูง
แต่หากศึกษาประเภทและความหมายของความรู้ที่มีผู้ให้คำนิยามไว้อย่างกว้างขวางและมีความหลากหลาย
ก็สามารถทำความเข้าใจและสามารถนำความรู้ไปปฎิบัติได้ไม่ยาก
การจัดการความรู้หรือ
KM ในมุมมองของ ศาสตราจารย์ อิคุจิโร โนนากะ
ศาสตราจารย์ อิคุจิโร โนนากะ เป็นชาวญี่ปุ่น
ถือเป็นกูรูด้าน KM ชาวเอเชียที่ถือว่า
ได้รับการยอมรับทั่วโลก ส าหรับประวัติการทำงานนั้น
เป็นปรมาจารย์เชี่ยวชาญด้านการจัดการความรู้ที่ Haas School of Business,
UC Berkeley และที่ Hitotsubashi University in Tokyo เป็นคณบดีศูนย์วิจัยด้าน ความรู้และนวัตกรรม (CKIR) ที่
Helsinki School และที่ Japan Advanced Institute of
Science and โนนา กะเคยกล่าวไว้ว่า "การจัดการความรู้ (Knowledge
Management)" เป็นชื่อเรียกที่ผิด ที่ถูก ควรเรียกมันว่า
"การจัดการบนฐานของความรู้(Knowledge Based Management)" จะเหมาะสมกว่า เริ่มสนใจในเรื่องของ KM เมื่อครั้งที่ก
าลังเรียนระดับปริญญาเอกที่ UC Berkeley และใช้เวลากว่า 5
ปี ท
าปริญญานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ท าให้เขาก้าวสู่ต
าแหน่งสุดยอดกูรู KM ก็เมื่อเขาร่วมมือ กับเพื่อน Hirotaka
Takeuchi และ Ken-ichi Imai ท
าโครงการพัฒนาองค์กรธุรกิจในญี่ปุ่นก้าวสู่โลกนวัตกรรม
ซึ่งพวกเขาพบว่าเกิดจากการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ
เป็นการปฏิวัติธุรกิจและอุตสาหกรรมแบบเดิมของ ญี่ปุ่น
ไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย “นวัตกรรม” โนนากะกับ Hirotaka Takeuchi ร่วมกันเขียนหนังสือที่ชื่อว่า "The Knowledge-Creating
Company" เมื่อ ค.ศ.1995 และถือเป็นคัมภีร์ที่นัก
KM ทั่วโลกยอมรับ หนังสือเล่มดังกล่าว น าเสนอทฤษฎี KM
ด้วยกิจกรรม ส าคัญ 7 ประการ ในการด
าเนินการจัดการความรู้ในองค์กร ได้แก่ 1. สร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความรู้
2. สร้างทีมจัดการความรู้ 3. สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้นในกลุ่มพนักงานระดับล่าง
4. จัดการความรู้ควบไปกับกิจกรรมพัฒนาสินค้า / วิธีการใหม่
หรือพัฒนารูปแบบการท างาน 5. เน้นการจัดการองค์กรแบบ
"ใช้พนักงานระดับกลางเป็นพลังขับเคลื่อน" (middle-up-down
management) 6. เปลี่ยนองค์กรไปเป็นแบบ "พหุบาท" (hypertext)
7. สร้างเครือข่ายความรู้กับโลกภายนอก โนนากะเป็นนักคิด
นักวิชาการจากรั้วมหาวิทยาลัย Hitotsubashi University ยุคแรก
ๆ ที่ผสมผสาน เอาแนวคิดของ 2 บรมครูอย่าง Peter Senge
กูรูการจัดการที่เน้นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับ Peter Drucker
ที่ปรมาจารย์อีกคนที่มองว่า KM เป็นกุญแจสู่การเติบโตขององค์กรในอนาคตและผลิตผลจะงอกเงยได้ก็ต้องอาศัย
ความรู้เป็นตัวน ามาปรับใช้และทดลองซ้ าแล้วซ้
าเล่ากับหลายธุรกิจในญี่ปุ่นจนประสบความสำเร็จ
การจัดการความรู้หรือ KM ในมุมมองของ ฮิเดโอะ ยามาซากิ (Hedeo
Yamazak)
ได้แสดงว่ามิติความรู้
โดยเริ่มจากฐานล่าง คือ ข้อมูล สังเคราะห์จนได้สารสนเทศคิดเปรียบเทียบ
เชื่อมโยงจนได้ ความรู้ นำไปใช้จนแก่งกลายเป็น ปัญญา
การจัดการความรู้หรือ KM ในมุมมองของ Thomas Davenport และ Laurance Prusak
ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ
ที่เป็นสภาพแวดล้อม และกรอบการทำงานสำหรับการประเมินและรวมกันของประสบการณ์
และสารสนเทศใหม่
1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการเล่นดนตรี เล่นกีฬา การทำอาหาร การทำงานฝีมือหรือเป็นประสบการณ์การทำงาน(จริง)ที่สะสมในตัวของผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความเชี่ยวชาญในงานด้านนั้นๆ บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม ความรู้ประเภทนี้ถ่ายทอดยาก ต้องลงมือทำ
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ง่าย โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นคลิปวิดีโอ ความรู้ประเภทนี้ได้แก่ ทฤษฎีคู่มือ ตำราระบบ
E-Learning ผลงานวิจัยต่างๆ บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม
Ikujiro Nonaka นักจัดการความรู้ได้จำแนกความรู้ออกเป็น 2 ประเภท และให้คำจำกัดความไว้เบื้องต้นที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรม ซึ่งนักการจัดการความรู้ใหม่ๆ จะต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเพราะจะเป็นพื้นฐานในการจัดการความรู้ คือ
1. Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่ปรากฏและมองเห็นได้ชัดเจน สามารถจัดทำออกมาในรูปแบบของเอกสาร คู่มือหรือสื่อต่างๆ และสามารถถ่ายทอดหรือรวบรวมได้ง่าย เช่น เอกสาร หนังสือ วีซีดี เทป ฐานข้อมูล เรียกว่ารูปแบบรูปธรรม
2. Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง ถูกฝังลึกและซ่อนเร้นอยู่ในตัวบุคคล โดย Tacit Knowledge อาจเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้หรือพรสวรรค์ (Talent) การถ่ายทอดหรือสื่อสารในรูปแบบของตัวเลขหรือตัวอักษรอาจทำได้ยาก
ไมเคิล โพแลนฮี และอิคูจิโร โนนากะ (Michel Polanyi and Ikujiro Nonaka) กล่าวว่าโดยปกติแล้วมนุษย์หรือองค์กรมักจะมีความรู้อยู่ 2 ประเภท คือ
1. ความรู้ที่ชัดแจ้ง Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง เป็นเหตุเป็นผล สามารถรวบรวม และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ เอกสาร รายงานต่างๆ ที่ง่ายต่อความเข้าใจ
2. ความรู้ที่ซ่อนเร้น Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวบุคคล เกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ พรสวรรค์ ซึ่งสื่อสาร ถ่ายทอด ในรูปแบบของตัวเลข สูตร หรือลายลักษณ์อักษรได้ยาก ความรู้ประเภทนี้พัฒนา และแบ่งปันได้ และเป็นความรู้ที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบ ในสภาพการแข่งขัน
ความรู้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
เนื่องจากมีความเป็นนามธรรมสูง
แต่หากศึกษาประเภทและความหมายของความรู้ที่มีผู้ให้คำนิยามไว้อย่างกว้างขวางและมีความหลากหลาย
ก็สามารถทำความเข้าใจและสามารถนำความรู้ไปปฎิบัติได้ไม่ยาก
การจัดการความรู้หรือ KM ในมุมมองของ ศาสตราจารย์ อิคุจิโร โนนากะ
ศาสตราจารย์ อิคุจิโร โนนากะ เป็นชาวญี่ปุ่น
ถือเป็นกูรูด้าน KM ชาวเอเชียที่ถือว่า
ได้รับการยอมรับทั่วโลก ส าหรับประวัติการทำงานนั้น
เป็นปรมาจารย์เชี่ยวชาญด้านการจัดการความรู้ที่ Haas School of Business,
UC Berkeley และที่ Hitotsubashi University in Tokyo เป็นคณบดีศูนย์วิจัยด้าน ความรู้และนวัตกรรม (CKIR) ที่
Helsinki School และที่ Japan Advanced Institute of
Science and โนนา กะเคยกล่าวไว้ว่า "การจัดการความรู้ (Knowledge
Management)" เป็นชื่อเรียกที่ผิด ที่ถูก ควรเรียกมันว่า
"การจัดการบนฐานของความรู้(Knowledge Based Management)" จะเหมาะสมกว่า เริ่มสนใจในเรื่องของ KM เมื่อครั้งที่ก
าลังเรียนระดับปริญญาเอกที่ UC Berkeley และใช้เวลากว่า 5
ปี ท
าปริญญานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ท าให้เขาก้าวสู่ต
าแหน่งสุดยอดกูรู KM ก็เมื่อเขาร่วมมือ กับเพื่อน Hirotaka
Takeuchi และ Ken-ichi Imai ท
าโครงการพัฒนาองค์กรธุรกิจในญี่ปุ่นก้าวสู่โลกนวัตกรรม
ซึ่งพวกเขาพบว่าเกิดจากการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ
เป็นการปฏิวัติธุรกิจและอุตสาหกรรมแบบเดิมของ ญี่ปุ่น
ไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย “นวัตกรรม” โนนากะกับ Hirotaka Takeuchi ร่วมกันเขียนหนังสือที่ชื่อว่า "The Knowledge-Creating
Company" เมื่อ ค.ศ.1995 และถือเป็นคัมภีร์ที่นัก
KM ทั่วโลกยอมรับ หนังสือเล่มดังกล่าว น าเสนอทฤษฎี KM
ด้วยกิจกรรม ส าคัญ 7 ประการ ในการด
าเนินการจัดการความรู้ในองค์กร ได้แก่ 1. สร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความรู้
2. สร้างทีมจัดการความรู้ 3. สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้นในกลุ่มพนักงานระดับล่าง
4. จัดการความรู้ควบไปกับกิจกรรมพัฒนาสินค้า / วิธีการใหม่
หรือพัฒนารูปแบบการท างาน 5. เน้นการจัดการองค์กรแบบ
"ใช้พนักงานระดับกลางเป็นพลังขับเคลื่อน" (middle-up-down
management) 6. เปลี่ยนองค์กรไปเป็นแบบ "พหุบาท" (hypertext)
7. สร้างเครือข่ายความรู้กับโลกภายนอก โนนากะเป็นนักคิด
นักวิชาการจากรั้วมหาวิทยาลัย Hitotsubashi University ยุคแรก
ๆ ที่ผสมผสาน เอาแนวคิดของ 2 บรมครูอย่าง Peter Senge
กูรูการจัดการที่เน้นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับ Peter Drucker
ที่ปรมาจารย์อีกคนที่มองว่า KM เป็นกุญแจสู่การเติบโตขององค์กรในอนาคตและผลิตผลจะงอกเงยได้ก็ต้องอาศัย
ความรู้เป็นตัวน ามาปรับใช้และทดลองซ้ าแล้วซ้
าเล่ากับหลายธุรกิจในญี่ปุ่นจนประสบความสำเร็จ
การจัดการความรู้หรือ KM ในมุมมองของ ฮิเดโอะ ยามาซากิ (Hedeo
Yamazak)
การจัดการความรู้หรือ KM ในมุมมองของ Thomas Davenport และ Laurance Prusak
ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ
ที่เป็นสภาพแวดล้อม และกรอบการทำงานสำหรับการประเมินและรวมกันของประสบการณ์
และสารสนเทศใหม่
การจัดการความรู้หรือ KM ในมุมมองของ Peter Senge
ได้ให้ความหมายของความรู้ไว้ว่า
นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจำซึ่งอาจจะโดยการนึกได้มองเห็นได้ หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเรียนรู้
โดยประกอบไปด้วยคำจำกัดความหรือความหมาย
ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง
วิธีการแก้ไขปัญหา
และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความรู้เป็นเรื่องของการจำอะไรได้ ระลึกได้
โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้
การจำได้จึงถือว่าเป็น กระบวนการที่สำคัญในทางจิตวิทยา
และเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ
การนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความ สามารถทางสมองมากขึ้นเป็นลำดับ
ส่วนความเข้าใจ(Comprehension) นั้น ฮอสเปอร์
ชี้ให้เห็นว่า เป็นขั้นตอนต่อมาจากความรู้
โดยเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้ความสามารถของสมองและทักษะในชั้นที่สูงขึ้น
จนถึงระดับของการสื่อความหมาย ซึ่งอาจเป็นไปได้โดยการใช้ปากเปล่า ข้อเขียน ภาษา
หรือการใช้สัญลักษณ์ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลได้รับข่าวสารต่าง ๆ แล้ว
อาจจะโดยการฟัง การเห็น การได้ยิน หรือเขียน
แล้วแสดงออกมาในรูปของการใช้ทักษะหรือการแปลความหมายต่าง ๆ เช่น
การบรรยายข่าวสารที่ได้ยินมาโดยคำพูดของตนเอง
หรือการแปลความหมายจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง โดยคงความหมายเดิมเอาไว้
หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อสรุปหรือการคาดคะเน
การจัดการความรู้หรือ KM
ในมุมมองของ
อ.ประเวช วะสี
ที่จำเป็นมี 4 ประเภทใหญ่ ๆ เรียกว่าปัญญา 4 หรือ จตุรปัญญา คือ ความรู้ธรรมชาติที่ เป็นวัตถุ(วิทยาศาสตร์กายภาพ )
ความรู้ทางสังคม ( วิทยาศาสตร์สังคม ) ความรู้ทางศาสนา ( วิทยาศาสตร์ข้างใน
)และความรู้เรื่องการจัดการซึ่งปัญญาที่เกิดจากความรู้ชนิดใดชนิดหนึ่งไม่เป็นการเพียงพอที่จะ
ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมเราจำเป็นต้องมีปัญญาอย่างบูราณาการ
การศึกษาและการวิจัยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาทุกด้านมิใช่ให้เรียนรู้เป็นส่วน ๆ
เพราะความรู้แบบแยกส่วนจะนำไปสู่การกระทำแบบแยกส่วนทำให้เกิดการเสียดุลยภาพและเกิดวิกฤติการณ์ขึ้น
การศึกษาเรียนรู้จำเป็นต้องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบเชื่อมโยงเนื่องจากในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นโลกแห่งการเชื่อมโยงเป็นองค์รวม
การจัดการเรียนรู้ควรจะไปให้ถึง 3 ระดับ คือ 1.) ระดับที่เกิดความรู้ ซึ้งหมายถึงการรู้ความจริง
การที่บุคคลจะทำอะไรให้สำเร็จได้บุคคลนั้นต้องรู้และใช้ความจริง
ความรู้ต้องเป็นความจริงเพราะการใช้ความจริงทำให้ทำได้ถูกต้อง
การให้ผู้เรียนสัมผัสความจริงเท่ากับ เป็นการให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับเบื้องต้น 2.) ระดับที่เกิดปัญญา
เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถบูรณาการหรือเชื่อมโยงความรู้ใน 4 ด้านดังกล่าวข้างต้นและนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต 3.) ระดับที่เกิดจิตสำนึก คือ การเกิดความเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ
และเข้าใจตัวเองว่าสัมพันธ์กับสรรพสิ่งอย่างไร ประเวศ วะสีท่านได้กล่าวต่อไปว่า
จริยธรรมจะเกิดแก่บุคคลต่อเมื่อบุคคลนั้นได้บรรลุการเรียนรู้ทั้ง 3 ระดับดังกล่าวจึงควรมีการปฎิรูปการเรียนให้มาเน้นการสัมผัส
ความจริงการคิดและการจัดการให้มากขึ้นทุกระดับ
การจัดการความรู้หรือ KM
ในมุมมองของ อ.ประพนธ์ ผาสุขยืด
ได้ให้ความหมายของความรู้ไว้ว่า
โมเดลปลาประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนตัว
และส่วนหาง
ส่วนหัวปลา เรียกว่า KV ย่อมาจาก Knowledge
Vision หมายถึงส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์
หรือเป็นทิศทางของการจัดการความรู้ กล่าวคือ
ส่วนหัวจะทำหน้าที่มองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า"ทำ KM ไปเพื่ออะไร"
ส่วนตัวปลา เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge
Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัยและสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกันส่วนหางปลา เรียกว่า KA ย่อมาจาก Knoeledge
Assets หมายถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่เก็บสะสมไว้เป็น
"คลังความรู้" หรือ"ขุมความรู้"
การจัดการความรู้หรือ KM
ในมุมมองของ
อ.ประเวช วะสี

การจัดการความรู้หรือ KM
ในมุมมองของ อ.ประพนธ์ ผาสุขยืด
ได้ให้ความหมายของความรู้ไว้ว่า
โมเดลปลาประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนตัว
และส่วนหาง

ส่วนตัวปลา เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge
Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัยและสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกันส่วนหางปลา เรียกว่า KA ย่อมาจาก Knoeledge
Assets หมายถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่เก็บสะสมไว้เป็น
"คลังความรู้" หรือ"ขุมความรู้"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น